รู้จัก “คาลิล ราวน์ทรี จูเนียร์ ” ชายผู้ใช้มวยไทยเปลี่ยนชีวิต จนสามารถโลดแล่นบนสังเวียน MMA ระดับโลก UFC

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับศึก UFC 307 เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ สังเวียน Delta Center, ซอลท์เลค, สหรัฐอเมริกา โดยคู่เอกของรายการ อเล็กซ์ เปเรย์รา แชมป์รุ่นไลต์เฮฟวีเวต UFC ชาวบราซิเลียน ขึ้นป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 3 พบกับ คาลิล ราวน์ทรี จูเนียร์ ผู้ท้าชิงเจ้าถิ่น ซึ่งผลการแข่งขันในครั้งนี้ แม้ อเล็กซ์ จะเป็นฝ่ายเอาชนะทีเคโอไปได้ในยกที่ 4 แต่ตลอดเกมบนเวทีฝ่ายผู้ท้าชิงอย่าง คาลิล ก็สู้ยิบตา โดยเฉพาะตำราเกมยืนที่เขาถนัด ออกอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอก ได้อย่างสูสี ไม่มีเสียเปรียบเจ้าของตำแหน่งเลยทีเดียว



ย้อนกลับไปในวันที่ชั่งน้ำหนัก ที่ Salt Palace Convention Center คาลิล ได้ทำการสวมมงคลมวยไทยและผูกผ้าขาวม้าไว้ที่เอว แต่ที่กลายเป็นไวรัลที่สุดก็คือเขาห้อยพระเครื่องหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท ขึ้นชั่งน้ำหนัก เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าแฟนกีฬาและสื่อมวลชน โดยเฉพาะคอกีฬาต่อสู้ชาวไทย ที่ได้เห็นภาพดังกล่าวต่างก็ตั้งข้อสงสัยและอยากจะทำความรู้จักกับชายผู้นี้มากยิ่งขึ้น

วันนี้เราจะพารู้จักกับ คาลิล ชายผู้คลั่งไคล้ในศิลปะแม่ไม้มวยไทย สู้การได้โลดแล่นบนสังเวียนการต่อสู้แบบผสมผสาน MMA ระดับโลก UFC 



สำหรับ คาลิล ราวน์ทรี จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2533 พ่อของเขาเคยเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้กับตำนานกำปั้นรุ่นเฮฟวีเวตอย่าง มูฮาหมัด อาลี ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้จัดการให้กับ Boyz II Men วงดนตรีแนว R&B ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเวลานั้น ทว่าหลังจากที่ คาลิล ลืมตาดูโลกได้เพียงแค่ 2 ปี เขามีอันต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อพ่อของเขาถูกยิงขณะเดินทางกลับจากทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องพบกับความลำบาก โดย คาลิล มีเพียงแม่ พี่สาว และน้องชายต่างมารดาเท่านั้น ซึ่งในแต่ละเดือนพวกเขาต้องพยายามดิ้นรนเพื่อหาเงิน 750 เหรียญมาจ่ายค่าเช่าบ้าน



ชีวิตในวัยเด็กที่ว่าแย่แล้ว แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น คาลิล กลับมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะเขากลายเป็นหนุ่มเสเพลที่ติดทั้งเหล้าและบุหรี่ ที่สำคัญในแต่ละวันเขามักจะโปรดปรานการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดและน้ำอัดลมจนทำให้เขามีน้ำหนักตัวมากกว่า 300 ปอนด์เลยทีเดียว 

แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อ คาลิล ได้รู้จักกับรายการ The Ultimate Fighter ซึ่งเป็นรายการเรียลลิตี้ MMA ชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้เขาสนใจในศิลปะการต่อสู้ เพียงเพราะแค่อยากจะลดน้ำหนักตัว ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาเห็นรอยสักคำว่ามวยไทยบริเวณสีข้างของ “วานเดอร์เลย์ ซิลวา” ตำนานนักสู้แดนแซมบ้า ทำให้เขาเริ่มสนใจในศาสตร์การออกอาวุธทั้งแปด อย่างไรก็ตาม คาลิล ใช้เวลา 11 เดือน ฝังตัวเองอยู่ในยิมจนลดน้ำหนักลงมาเหลือที่ 200 ปอนด์ และพร้อมที่จะเปิดตัวในโลกของศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน 


คาริล มาฝึกมวยไทย ที่ประเทศไทย


“ผมแค่พยายามจะลดน้ำหนัก ผมอยากออกกำลังกาย การเตะและต่อยดูเหมือนจะเป็นวิธีที่สนุก ยิ่งผมไปยิมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งเห็นว่าตัวเองลดน้ำหนักลงเท่านั้น กระทั่งผมได้ดูนักมวยรุ่นเฮฟวีเวตต่อสู้กัน ณ ตอนนั้นผมพูดกับตัวเองว่า ‘โอ้พระเจ้า’ แล้วนักมวยคนนั้นหันมาตอบผมว่า ‘ก็ลองดูสิ’ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ในที่สุด” 

“ผมรู้จักมวยไทยครั้งแรกจากนักสู้คนหนึ่งที่ชื่อ วานเดอร์เลย์ ซิลวา ผมเห็นสีข้างของเขามีรอยสักว่า มวยไทย และผมก็ชื่นชอบสไตล์ของเขา จากนั้นผมก็เข้าไปดูในโลกออนไลน์ จึงได้เห็นมวยไทยของจริงใที่ประเทศไทย”


คาลิล ครั้งเมื่อได้พบกับ วานเดอร์เลย์ ซิลวา


ในปี 2011 คาลิล เริ่มออกสตาร์ทในระดับสมัครเล่น เขาลงแข่งขันในรายการ Tuff-N-Uff และตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่ คาลิล อยู่บนสังเวียนแห่งนี้ เขาไม่เคยปราชัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว สามารถเอาชนะคู่แข่ง 6 ไฟต์รวด แถมยังเป็นชัยชนะแบบไม่ครบยกถึง 5 ครั้งด้วยกัน จนคว้าเข็มขัดแชมป์รุ่นมิดเดิลเวตมาครองได้สำเร็จในปี 2013 เมื่อเวทีระดับสมัครเล่นเล็กเกินกว่าความสามารถของเขา ในปีถัดมา คาลิล จึงตัดสินใจชิมลางในระดับอาชีพ 

ในปี 2014 คาลิล เริ่มเทิร์นโปรระดับอาชีพในรายการ RFA (Legacy Fighting Alliance ในปัจจุบัน) เขาคว้าชัย 4 ไฟต์ติดต่อกันจนได้รับโอกาสให้เปิดตัวในรายการ UFC พร้อมทั้งอัพน้ำหนักขึ้นมาสู้ในรุ่นไลท์เฮฟวีเวต ในปี 2016 แม้ 2 ไฟต์แรกเขาจะเป็นฝ่ายปราชัยให้กับคู่แข่ง แต่หลังจากนั้น คาลิล เริ่มพัฒนาศักยภาพตัวเองด้วยศาสตร์การต่อสู้แบบยิวยิตสูและมวยไทย จนกลับมาคว้าชัยบนเวทีได้อย่างสวยงาม อันที่จริงก่อนหน้านี้ คาลิล เคยเดินทางมาซ้อมมวยไทยอยู่ที่ค่ายเพชรยินดี แต่นั้นเป็นแค่การมาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 



“ผมไม่ได้เรียนมวยไทยแบบจริงๆจังๆ จนกระทั่งผมได้ไปที่ประเทศไทย ตอนที่ผมมาประเทศไทยครั้งแรก ผมเลือกฝึกที่ค่าย เพชรยินดี เพราะพวกเขามีนักสู้ระดับแชมป์เปียนหลายคน ผมต้องการดูว่าพวกเขามีวิธีการฝึกซ้อมอย่างไร และเข้มข้นแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไปซ้อมที่นั่น”

กระทั่งปี 2019 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อ คาลิล ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังอีกซีกโลกหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองไทยดินแดนอันศิวิไลต้นกำเนิดศาสตร์ทั้งแปดนี้ พร้อมลงหลักปักฐานเพื่อฟูมฟักศาสตร์ในตำนานบนดินแดนต้นกำเนิด และเป้าหมายของเขาก็คือ ไทเกอร์มวยไทย ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยเหล่าบรรดายอดฝีมือที่จะช่วยขัดเกลาให้เขาได้ตกผลึกในศาสตร์ทั้งแปดนี้อย่างแท้จริง 



“เราทำทุกอย่างด้วยกัน กิน นอน ออกไปวิ่ง ทุกสิ่งเราทำร่วมกัน ผมรู้สึกได้รับการต้อนรับในประเทศไทยมากกว่าในประเทศผมเองด้วยซ้ำ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน”

“ผมจะบอกว่าสิ่งสำคัญที่ผมชอบเกี่ยวกับมวยไทยคือจิตวิญญาณ ผมคิดว่ามวยไทย คือจิตวิญญาณของนักสู้และจิตวิญญาณของสนามกีฬาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังอย่าง ราชดำเนิน และ ลุมพินี”



ภายหลังการมาเก็บตัวที่ภูเก็ต คาลิล ได้ฉายฟอร์มในฉบับร่างทองออกมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างปี 2021 – 2023 นับว่าเป็นปีทองของ คาลิล เลยก็ว่าได้เมื่อเขาไล่เก็บแต้มชัยจากคู่ต่อสู้ติดต่อกันถึง 5 ไฟต์ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการเอาชนะน็อกคู่แข่งโดยใช้ศิลปะแม่ไม้มวยไทยอย่างหมัด เท้า เข่า ศอก ถึง 4 ครั้งด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถเอาชนะทีเคโอ อดีตผู้ท้าชิงแชมป์ UFC อย่าง แอนโธนีย์ สมิธ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว จนเป็นบันไดให้เขาก้าวขึ้นท้าชิงบัลลังก์แชมป์จาก อเล็กซ์ เปเรย์รา ในศึก UFC 307 เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา ในฐานะรองแชมป์อันดับ 8 แต่เป็นที่น่าเสียดายเมื่อ คาลิล เป็นฝ่ายพ่ายทีเคโอในยกที่ 4 



ในด้านชีวิตคู่ คาลิล ได้ครองรักกับ “มีอา คัง” บิวตี้บล็อกเกอร์สาวลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลีใต้ ซึ่งปัจจุบันเธอเปิดยิมมวยไทยที่เกาะสมุย โดยทั้งคู่พบรักกันตั้งแต่ปี 2020 ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์ จนเข้าพิธีวิวาห์แบบเรียบง่ายที่ประเทศไทยเมื่อช่วงเดือนมกราคม ที่ผ่านมา 

แอดมิน ปอนด์ต่อปอนด์
แอดมิน ปอนด์ต่อปอนด์
ท้าชนทุกรุ่น...ปอนด์ต่อปอนด์

ข่าวล่าสุด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง