“มวยไทย คือจิตวิญญาณของนักสู้และจิตวิญญาณของสนามกีฬาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังอย่าง ราชดำเนิน และ ลุมพินี”
นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของ คาลิล ราวน์ทรี จูเนียร์ ในครั้งที่เดินทางมาฝึกและเรียนรู้ศาสตร์ของมวยไทยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ประโยคดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นในมุมมองของนักสู้ MMA ระดับโลก ที่มีความผูกพันกับศาสตร์การโจมตีทั้งแปดอย่างลึกซึ้ง

ก่อนอื่นต้องบอกว่าศิลปะแม่ไม้มวยไทยถือเป็นศาสตร์การต่อสู้ที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ เพราะปัจจุบันมีชาวต่างชาติให้ความสนใจและเรียนรู้ในศาสตร์มวยไทยเพิ่มมากขึ้น หลายคนเดินทางมาลงหลักปักฐานบนแผ่นดินขวานทองเป็นเดือน ๆ เพื่อฟูมฟักศาสตร์ในตำนานและเข้าถึงจิตวิญญาณของมวยไทยได้อย่างถ่องแท้ซึ่ง คาลิล เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ที่เมืองไทย คาลิล ไม่เพียงแต่จะเรียนรู้ศิลปะแม่ไม้มวยไทย แต่ คาลิล ยังพาตัวเองไปฝังตัวอยู่กับคนไทยเพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือแม้กระทั่งอาหารการกิน เพื่อที่จะได้เข้าถึงรากเหง้าและจิตวิญญาณของความเป็นมวยไทยได้อย่างตกผลึก

“ผมได้พบกับเทรนเนอร์หลาย ๆ คน เขาสอนผมหลายอย่าง เขาเป็นคนดีและเข้มแข็ง และเมื่อผมมาถึง พวกเขาก็เริ่มสอนผมว่า คุณต้องรู้จักเทคนิคมวยไทยที่แท้จริง และพวกเขาก็ยินดีต้อนรับผม มันเหมือนกับครอบครัวครับ”
“เราทำทุกอย่างด้วยกัน กิน นอน ออกไปวิ่ง ทุกสิ่งที่เราทำร่วมกัน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเป็นที่ต้อนรับมาก ผมรู้สึกได้รับการต้อนรับในประเทศไทยมากกว่าในประเทศผมเองด้วยซ้ำ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน”

“เทรนเนอร์ตี๋” อนุรุต วรรณเสริฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บุญเบิกฟ้า ว.วิวัฒนานนท์” อดีตนักมวยไทยชื่อดัง ที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์มวยให้กับค่ายเพชรยินดี เล่าย้อนรำลึกถึงความหลังครั้งที่ คาลิล เดินทางมาเรียนมวยไทยได้อย่างน่าสนใจ และเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนว่ามวยไทย วัฒนธรรมไทย ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตนักสู้ของ คาลิล ไปโดยปริยาย
“คาลิล เขามาเรียนมวยไทยที่เมืองไทยเพราะเขาฝังใจในไฟต์ที่เขาโดนศอกแล้วแพ้น็อกครับ เขาเล่าให้ฟังว่าความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นทำเขานอนไม่หลับเลย พยายามหาทางแก้ศอกลูกนั้นให้ได้ ผมก็เลยจัด เพชรมรกต กับ หรั่งขาว ไปเป็นบททดสอบให้เขา ตอนแรกก็ยังไม่บอกเขาว่าศอกลูกนี้ต้องแก้ยังไง แต่พอสอนแล้วเขาบอกว่าเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เองทำไมตัวเขาถึงทำไมได้ เขาก็ขอบคุณที่เราช่วยสอนให้ครับ”

“มีช่วงหนึ่ง คาลิล ติดเมืองไทยมาก มาอยู่จนไม่กลับบ้านที่อเมริกาเลย เขารู้สึกประทับใจในเมืองไทยหลาย ๆ อย่างเลยครับ โดยเฉพาะข้าวกะเพราถ้วยละ 35 บาท ตีเป็นเงินดอลลาร์ก็เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ซึ่งเขารู้สึกประหลาดใจกับรสชาติที่เกินราคามากจนต้องถ่ายลงสตอรี่ในไอจี”

“หลวงพ่อกวยที่เขาห้อยคอก็เป็นทีมงานเพชรยินดีนี่แหละครับที่พาเขาไปเอาที่วัด เพราะหลังจากที่เขาได้ฟังประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อกวยแล้วเขารู้สึกศรัทธา หลังจากนั้นก็เห็นเขาห้อยไว้ที่คอตลอดเลยครับ ตอนไปดูมวยไทยที่เวทีราชดำเนินพวกผมก็พาเขาไปดูไปเชียร์ที่มุม พอไปถึงสนามเขารู้สึกทึ่งในหลาย ๆ อย่างที่เป็นมวยไทยมาก”

“ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของ คาลิล ทำทุกอย่างแทบจะเหมือนนักมวยในค่ายเพชรยินดีเลยครับ เพราะเขาต้องการเรียนรู้ว่านักมวยที่นี่ซ้อมกันยังไง จะได้เข้าถึงจิตวิญญาณมวยไทยอย่างที่เขาต้องการ ตื่นเช้ามาก็ออกไปวิ่งกับนักมวยประมาณ 10-12 โล กลับมาก็ซ้อมเตะฝึกหมัด ช่วงบ่ายก็ซ้อมถึงเย็น คือทำทุกอย่างเหมือนนักมวยในค่ายเลยครับ”

“ไฟต์ล่าสุดที่เขาเจอกับ เปเรย์รา ผมก็ดูเขา ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันครับที่เขาแพ้ รู้สึกใจหายเพราะคนเคยซ้อมเคยรู้จัก เคยอยู่กินด้วยกันมาครับ”
เช่นเดียวกับ “เทรนเนอร์มาย” อภิวัฒน์ อิ่มวงค์ ที่สมัยชกมวยใช้นามว่า “สมเดช พ.พันตรี” เป็นอีกหนึ่งครูมวยที่ช่วยขัดเกลาศาสตร์การออกอาวุธทั้งแปดให้กับ คาลิล ได้นำไปใช้โลดแล่นบนสังเวียน MMA ระดับโลกในปัจจุบัน ก็ได้เล่าถึงความทรงจำในครั้งนั้นว่า

“คาลิล มาเสริมทักษะมวยไทยเพิ่มครับ เราแค่สอนให้เขาเตะถูกวิธี เขามีการออกอาวุธที่ดี แต่เขาแค่ยังทำได้ไม่ถูกวิธีแค่นั้น”
“ส่วนตัวมองว่า คาลิล เขาเป็นระดับโลกจริง ๆ เพราะเรื่องระเบียบวินัย เรื่องการสอนเวลาเราสอนอะไรไปเขาก็จะนำกลับไปทำซ้ำ ๆ จนเขาทำได้ ส่วนใหญ่ก็จะสอนเรื่องการเตะครับ ให้เขาบิดสะโพก หรือจับจังหวะปล้ำ แล้วก็สอนให้เขางัดศอกครับ”
ยังมีชาวต่างชาติอีกมากมายที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อต้องการมาเรียนรู้และฝึกศาสตร์ของมวยไทย และเชื่อว่าหลายคนก็เลือกเส้นทางไม่ต่างจาก คาลิล นั่นคือการฝังตัวไปอยู่กับนักมวยในค่าย ได้สัมผัสกับจิตวิญญาณมวยไทยอย่างแท้จริง เพราะศิลปะแม้ไม้มวยไทยไม่แพ้ศาสตร์การต่อสู้แขนงใด ๆ บนโลก