เปิดใจ “คำปุ่น” ตัวละครลับระดับแชมป์โลกจากผู้หญิง 5 บาป ที่ต้องขอไฟเขียวภรรยามาสร้างตำนาน

“ไล่ออกหรอ ดี!! แต่ก่อนที่กูจะออก กูก็มีอะไรจะให้มึงเหมือนกัน อีสั_” นี่คือคำพูดสุดท้าย ของยามรักษาความปลอดภัยที่ชื่อ คำปุ่น หนึ่งในตัวละครลับจากภาพยนตร์แนวตลกร้ายสุดสยิวเรื่อง “ผู้หญิง 5 บาป” ที่หลายคนยังคงตราตรึงมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยมากว่า 20 ปี แล้วก็ตาม โดยเฉพาะฉากที่ คำปุ่น ร่วมรักหักสวาทกับนายจ้างสาวสุดแซ่บ ที่ทำเอาชายไทยทั้งประเทศต้องอิจฉาไปตาม ๆ กัน 



ย้อนกลับไปเมื่อปี 2545 เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักมักคุ้นกับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยแต่ละฉากแต่ละตอนในเรื่องได้มีการนำเอาเหล่าดารา และเซเลปแทบจะทุกวงการ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงรับเชิญ และหนึ่งในตัวละครที่ยังคงมีการพูดถึงอยู่ในยุคปัจจุบันก็คือ “คำปุ่น” ที่รับบทโดย เมืองชัย กิตติเกษม อดีตนักมวยดีกรีแชมป์โลก 2 รุ่น 2 สถาบัน ซึ่งวันนี้เราจะพาไปพูดคุยแบบเจาะลึกกับ เมืองชัย ถึงสาเหตุที่รับงานเล่นบทดังกล่าว รวมถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นเส้นทางการเมืองที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้



หากใครเคยรับชมภาพยนตร์เรื่องผู้หญิง 5 บาป ในภาคแรก จะรู้ดีว่าบทของ คำปุ่น ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาคนทั้งประเทศได้อย่างถึงพริกถึงขิง เมืองชัย ยอมรับว่ากว่าจะได้รับบทนี้ เขาต้องตัดสินใจอยู่นาน กระทั่งได้ไฟเขียวจากศรีภรรยา แต่ที่สุดโต่งไปกว่านั้นคือภรรยาของเขายังเป็นผู้เลือกคู่ขวัญในเรื่องให้กับยามคำปุ่น ชนิดที่ตัวเจ้าของบทเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน   

“ที่ได้ไปเล่นหนังเรื่องนี้ก็เพราะว่าพี่กับผู้กำกับสนิทกัน (พี่เป็นคำที่ เมืองชัย ใช้แทนตัวเองตอนให้สัมภาษณ์) ตอนแรกที่ได้อ่านบทก็ว่าจะไม่เล่นเพราะรู้สึกว่ามันล่อแหลมมากเลย แต่ทีนี้ทางผู้กำกับเขาขอให้ช่วย เขาอ้างว่าหนังเรื่องนี้ฉายโรงใหญ่ แล้วนักแสดงแต่ละคนก็ค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียง”



“ทีแรกไอเราก็เอ้ จะช่วยดีมั้ย? เลยเอาบทกลับไปให้ภรรยาดู พอภรรยาได้อ่านก็บอกว่าโอเคเลย แต่มีข้อแม้ว่าต้องเล่นกับผู้หญิงคนนี้ คือในหนังเขาจะวางผู้หญิงไว้แล้ว 5 คน ภรรยาพี่เลือกคนนี้ (แคนดี้ ชุติมา) เขาบอกผู้กำกับว่าถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ก็จะไม่ให้พี่เล่น ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมต้องคนนี้”  

การเป็นนักแสดงมือใหม่ หลายคนอาจจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อให้ตกผลึกในบทละครนั้น ๆ  แต่ไม่ใช่สำหรับอดีตแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่อย่าง เมืองชัย เพราะแต่ละฉากแต่ละตอนที่ออกสู่สายตาคนทั้งประเทศนั้นไม่ได้มีการเตรียมตัว หรือทำการบ้านกับบทมาเลยแม้แต่นิดเดียว  

“พอถ่ายจริงมันก็ไม่มีอะไรเลย เพราะมันคือการแสดง วันนั้นพี่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเลย ก็คิดไว้ว่าจะอ่านบทแล้วด้นสดเอาหน้างาน ด้นสดในที่นี้ก็คือผู้กำกับต้องการแบบไหนก็บอกมาผมจัดให้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเทคเดียวผ่านเลยนะ โหย!! วันนั้นฉากนึงต้องมีเป็น 10 เทคกว่าจะผ่าน ในหนังพี่ออกจออยู่ไม่กี่นาที แต่เชื่อมั้ยถ่ายจริง ๆ นัดตั้งแต่ 6 โมงเย็น พี่ได้กลับบ้านก็ล่อไป 9 โมงเช้า” 



แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี แต่บทคำปุ่น ยังคงเป็นทอคออฟเดอะทาวน์ที่หลายคนพูดถึงในยุคนี้ แม้กระทั่งตัวเจ้าของบทเอง ก็ยังเห็นฉากคำปุ่นผุดขึ้นมาบนโลกโซเชียลได้ไม่เว้นแต่ละวัน 

“บทยามคำปุ่นก็เป็นบทที่คนพูดถึงกันเยอะ ถ้าพูดถึง เมืองชัย ในด้านการแสดงก็ต้องเรื่องนี้แหละ ทุกวันนี้แม้จะผ่านมา 20 กว่าปี คำปุ่นก็ยังมีเด้งมาให้พี่เห็นบนโลกโซเชียลอยู่บ่อย ๆ  หลังจากเรื่องนั้นก็มีงานแสดงเข้ามาประปราย แต่ส่วนมากก็เป็นบทรับเชิญ เข้าฉากอยู่ไม่กี่นาที จำไม่ได้แล้วว่าเคยเล่นเรื่องไหนบ้าง เพราะมันนานแล้ว” 

หลังจากหันหลังให้กับวงการมวย และการแสดง เมืองชัย หันมาประกอบธุรกิจเต็นท์รถมือสอง ซึ่งแรก ๆ ก็มีทีท่าว่าจะไปได้ดี กระทั่งเกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทำให้เขาต้องจำใจปิดกิจการ และหันมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ภายใต้สังกัดพรรคเพื่อไทย  



“ภรรยาพี่เป็นคนบางบอน พี่ก็เลยมาลงหลักปักฐานทำเต็นท์รถมือสองอยู่ที่นี่ สมัยก่อนชอบไปเตะฟุตบอลกับพวกนักการเมืองอยู่บ่อย ๆ ก็เลยได้รู้จักกับพี่วัน (วัน อยู่บำรุง) เผอิญว่าช่วงนั้นปี 53 ทางพรรคเพื่อไทยขาดคนลงสมัคร ส.ข.(สภาเขต) พี่ก็เลยขอเขาลง นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้มาเล่นการเมือง จนปี 54 น้ำท่วมใหญ่ พี่เลยเลิกกิจการเต็นท์รถแล้วหันมาเล่นการเมืองเต็มรูปแบบจนถึงปัจจุบัน”

จากที่โลดแล่นอยู่บนถนนสายการเมืองมานานกว่า 10 ปี เมืองชัย ยอมรับว่านี่เป็นบทบาทหน้าที่ที่ยากที่สุดสำหรับเขา เพราะด้วยความที่นักการเมืองแต่ละคนรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ ต่างกับวงการมวยที่มักจะใช้ใจแลกใจ เข้าขาเมื่อไหร่ก็คบค้าสมาคมกันยาว ๆ

“การเมืองยากที่สุดแล้ว ชกมวยยังไม่ยากเท่าเล่นการเมืองเลย มวยถ้าร่างกายดี หัวจิตหัวใจได้ สมองมันก็จะตามมา แต่การเมืองมันรู้หน้าไม่รู้ใจ ฮ่า ๆ” 



“วงการมวยมันได้เรื่องหัวใจ ถ้าคุยถูกคอกันแล้วยังไงแม่งก็ใช่ พอมาเป็นการเมืองถึงจะคุยถูกคอกันแล้ว แต่เชื่อมั้ยพอมันจะด่าก็ด่ากันเลย ก็เห็น ๆ กันอยู่ ทั้งที่กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ ๆ พอด่าเสร็จก็ลงมากอดคอกันเยอะแยะ ยิ่งกว่าตาแป๊ะขายขวด”

“เป็นนักการเมือง งานบวช งานแต่ง งานศพ งานสาธารณูปโภค ก็ต้องไป บางทีเขาไม่เชิญยังต้องเสนอหน้าไปเลย (หัวเราะ) นี่แหละเขาเรียกการเมือง”  

ย้อนไปเมื่อปี 2565 เมืองชัย ต้องพบกับความผิดหวัง หลังพ่ายการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ (ส.ก.) แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะเอาชนะใจประชาชนคนบางบอน เพราะทันทีที่ครบวาระ อีก 2 ปีข้างหน้า เขาก็พร้อมออกเดินทางต่อบนถนนสายการเมือง แถมยังมองไปที่ตำแหน่งใหญ่กว่าเดิมนั่นก็คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 



“ตอนนี้พี่อยู่ในสถานะอดีตผู้สมัคร ส.ก. ที่ว่าแพ้ 1,400 คะแนน ก็ถือว่าแพ้ไม่เยอะนะ ก็รออีกประมาณ 2 ปี ถึงจะครบวาระ แต่ทั้งนี้เราขึ้นมาถึงระดับ ส.ก.แล้วเนี่ย ครั้งหน้า ส.ส. อาจจะเป็นไปได้ ถ้าผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้ พี่เป็นคนที่อยู่ที่ไหนอยู่ที่นั่น ปักแล้วปักเลยไม่โลเลไม่ว่อกแว่ก ถึงไหนถึงกัน” 

สำหรับ เมืองชัย ถือเป็นอีกหนึ่งกำปั้นที่สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในยุคที่มวยสากลไทยเฟื่องฟูสุดขีด เมื่อช่วง 20-30 ปีที่แล้ว ในขณะที่มวยสากลไทยยุคปัจจุบันแทบจะไม่เป็นที่ถูกพูดถึง แถมยังได้รับความนิยมน้อยกว่าศิลปะการต่อสู้แขนงอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ เมืองชัย ยอมรับว่าวงการมวยสากลอาชีพไทยในปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงขาลง อันเนื่องมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะโปรโมเตอร์และผู้จัดที่มักแสวงหาผลประโยชน์ มากกว่าที่จะเห็นความสำเร็จของนักมวยอย่างเป็นรูปธรรม 



“วงการมวยสากลบ้านเราทุกวันนี้เงียบมาก ถ้าจะแก้ไขหัวหน้าค่ายหรือโปรโมเตอร์ผู้จัด ต้องมีใจรักที่จะสนับสนุนจริง ๆ ที่สำคัญจะต้องมีทุน ถ้าคิดจัดเพื่อเน้นทำเงินทำกำไรอย่างเดียวแบบนี้ไม่เกิด ลองย้อนไปดูยุคเก่า ทำไม เขาทราย โด่งดัง ก็เพราะโปรโมเตอร์เขามีทุนอันนี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเขาก็ไปวิ่งหานักการเมือง นักธุรกิจ ก็รวมกันมาเป็นก้อนเดียว มวยสากลมันเลยเดินหน้าไปต่อได้” 



“สมัยก่อนทองบาทละไม่เกิน 5,000 ทุกวันนี้บาทละ 40,000 โปรโมเตอร์ที่ไหนเขาจะกล้าจัด สมัยพี่ชกไฟต์หนึ่งอย่างน้อยต้องมีทอง 30-40 บาท นี่ถือว่าน้อยแล้วนะ ถ้าเยอะต้องพี่ระ เขาทราย โน้น ไฟต์หนึ่งเป็นร้อย ๆ บาท แต่พี่ไม่เคยจับทอง ยกให้หัวหน้าค่ายไป เขาก็ให้กลับมาเป็นเงินสด แต่ละไฟต์พอชกเสร็จพี่ชอบไปย้อนดูเทปบนเวทีว่าวันนี้ได้ทองมากี่บาท แล้วก็มาคิดเป็นจำนวนเงิน ก็ได้ครบทุกบาท”  

“เรื่องทองค่ายอื่นพี่ไม่รู้ แต่สำหรับพี่ ลุงปื๊ด (กิตติ อัครเศรณี) หัวหน้าค่าย, เสี่ยส่ง (ส่ง กาญจนชูศักดิ์) ผู้จัดการ, เฮียซ้ง (ทรงชัย รัตนสุบรรณ) ผู้จัดการร่วม ทั้ง 3 คนนี้ ทองทุกบาทเงินทุกสตางค์ ถึงมือครบเต็มจำนวน ไม่เคยหักเลยมีแต่จะเพิ่มให้ เพราะท่านรู้ว่าเราขึ้นชกแต่ละครั้งมันเหนื่อย” 



ในปัจจุบันเรามักจะเห็นอดีตนักมวยมีชื่อหลายคนผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์ และโปรโมเตอร์ผู้จัด แต่สำหรับ เมืองชัย เขาขอไม่เลือกเดินบนเส้นทางดังกล่าว เพราะด้วยประสบการณ์และภาพจำความผิดหวังจากเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่มีให้เห็นจนชินตา หล่อหลอมออกมาจนกลายเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับเขา   

“หลายคนก็ถามเหมือนกันว่าทำไมพี่ไม่ไปเทรนนักมวย ทำไมพี่ไม่ไปเปิดค่ายมวย พี่ถามคำนึงนะ คน 10 คนเอาแค่ในประเทศไทย ประสบความสำเร็จกี่คน จังหวัดหนึ่งมีกี่ยิม แล้วจังหวัดหนึ่งประสบความสำเร็จกี่คน ในขณะคนที่ไปต่างประเทศ ไปกันกี่คนแล้วประสบความสำเร็จกลับมากี่คน นี่แหละก็จะเป็นคำตอบว่าทำไมพี่ถึงไม่ทำมวย”

“เราเคยเป็นนักมวยมาก่อนเลยรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นหัวหน้าค่ายมวยเราต้องรู้ว่าวันวันหนึ่งค่าใช่จ่ายมันเท่าไหร่ บางคนมีเงินหลายล้านเข้ามาจับวงการมวย เป็นผู้จัดเป็นโปรโมเตอร์ รอดถึงปีหรือป่าวยังไม่รู้เลยกับสิ่งที่ลงไป ที่พูดแบบนี้คือไม่ได้ดูถูกศักยภาพตัวเองนะ แต่จากประสบการณ์เพื่อนพ้องน้องพี่ที่เคยทำมาไม่ประสบความสำเร็จมันมีให้เห็นเยอะ” 

แอดมิน ปอนด์ต่อปอนด์
แอดมิน ปอนด์ต่อปอนด์
ท้าชนทุกรุ่น...ปอนด์ต่อปอนด์

ข่าวล่าสุด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง