รู้จัก “ปีเตอร์ ดาเนสโซ” จากเด็กคัดตัวสโมสรฟุตบอลชื่อดัง สู่โอกาสโลดแล่นบนสังเวียน MMA ระดับโลก

ในอดีตเราอาจจะเคยเห็นนักมวยไทยหลายคนที่ผันตัวมาเป็นนักฟุตบอลไม่ว่าจะเป็น กบน้อย ส.สกุลภัณฑ์ หรือ สุเชาว์ นุชนุ่ม อดีตนักเตะทีมชาติไทย ยอดแสนชัย ศิษย์จ่าเส็ง หรือ ยุทธพงษ์ ศรีละคร ที่ปัจจุบันเล่นให้กับเมืองตรัง ยูไนเต็ด หรือแม้กระทั่งยอดมวยไทยระดับตำนานอย่าง แสนชัย ส.คิงส์สตาร์ ก็เคยเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของเมืองทอง ยูไนเต็ด มาแล้ว

แต่ในขณะเดียวกันก็มีอดีตแข้งเยาวชนรายหนึ่งที่เคยผ่านการคัดเลือกจากสโมสรดังได้ผันชีวิตตัวเองมาเป็นนักมวยจนตอนนี้ได้ไปโลดแล่นอยู่บนสังเวียนระดับเวิลด์คลาส ซึ่งเขาผู้นั้นมีชื่อว่า ปีเตอร์ ดาเนสโซ หนุ่มลูกครึ่งไทย เดนมาร์ก ผู้มีความฝันว่าสักวันต้องมีตัวตนอยู่ในเกม UFC ให้ได้



ปีเตอร์ ดาเนสโซ่ เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 ที่ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เป็นพ่อ ขณะที่แม่ของเขาเป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ ปีเตอร์ อายุได้ 5 ขวบ พ่อกับแม่ของเขาได้แยกทางกัน ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจที่จะย้ายมาอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่

ในวัยเด็ก ปีเตอร์ เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในการเล่นกีฬา เขาเริ่มจากการลงแข่งขันกรีฑา หาเวลาไปเรียนเทนนิส กระทั่งอายุได้ 10 ขวบ ปีเตอร์ เริ่มหันมาสนใจกีฬาฟุตบอลซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีมหกรรมฟุตบอลโลกปี 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาทุ่มเทกับกีฬาชนิดนี้



“จำได้ว่าตอนนั้นบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ผมก็เริ่มหันมาชอบฟุตบอล แรก ๆ ก็เตะกับเพื่อนที่โรงเรียน จนกระทั่งได้มีโอกาสไปซ้อมกับทีมของโบสถ์ เพราะที่เชียงใหม่ พวกโบสถ์คริสตจักรแต่ละที่จะส่งทีมฟุตบอลแข่งขันกันประจำ แล้วก็มีโอกาสไปซ้อมบนดอยที่ม่อนแจ่มกับทีมคริสต์ เอฟซี ด้วยครับ”

กระทั่งอายุได้ 12 ปี ปีเตอร์ ก็เดินหน้าไล่ล่าหาความท้าทาย เขาเริ่มจากการคัดตัวของโครงการยันมาร์ คลินิกฟุตบอล เพื่อติดทีมไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเขาไม่ผ่านการตัดตัวในรอบสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขายังไม่ได้รับสัญชาติไทยกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการลงแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ



“ตอนนั้นยันม่าร์ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ของทีมบางกอกกล๊าส (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด) ได้มาคัดตัวเยาวชนที่เชียงใหม่ผมก็เลยลองไปคัด ผมผ่านหมดทุกรอบแต่มาพลาดมารอบสุดท้ายซึ่งรอบนี้ถ้าใครผ่านเขาก็จะเอาไปแข่งที่ญี่ปุ่นครับ”

“หลังจากนั้นก็ตระเวนแข่งให้ทีมโรงเรียนมาเรื่อย ๆ ตอนนั้นผมยังลงแข่งได้ไม่เยอะเพราะผมยังไม่ได้สัญชาติไทยทำอะไรก็ลำบาก อย่างบอลโค้กคัพ บอลเยาวชน 7 สี ผมก็ไปแข่งไม่ได้เพราะยังไม่ถือสัญชาติไทยครับ”



หลังจากผิดหวังมา 2 ปี ปีเตอร์ ได้กลับมาเดินตามเส้นทางนักฟุตบอลของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้เขาเลือกที่ไปจะไปคัดตัวกับสโมสรบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง เชียงราย ยูไนเต็ด แม้เขาก็ทำสำเร็จ แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างจึงทำให้เด็กหนุ่มลูกครึ่งรายนี้ตัดสินใจที่จะละทิ้งความฝัน ท้ายที่สุดเขาก็ต้องหันหลังให้กับกีฬาฟุตบอลไปโดยปริยายและกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับมวยไทย

“พออายุได้ 14 ผมมีโอกาสไปคัดตัวที่เชียงราย ยูไนเต็ด ตอนนั้นติดทีมแล้วครับ แต่พอดีทางสโมสรเขาต้องการให้ผมไปเรียนไปใช้ชีวิตอยู่กินที่นั่น สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจไม่ไปด้วยปัญหาหลาย ๆ ด้านครับ แต่ผมก็ยังเตะบอลอยู่เหมือนเดิมครับ ลงแข่งรายการไพร์มิสเตอร์คัพกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน กระทั่งเพื่อน ๆ หลายคนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นก็เลยทำให้ทีมแตกครับ”



“หลังจากทีมฟุตบอลแตกผมก็ไม่รู้จะไปทำอะไร พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งชวนผมไปซ้อมยิวยิตสู กับ มวยไทย ที่ค่ายทีมเควส ไทยแลนด์ (Teamquest Thailand) และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเข้าสู่วงการมวยครับ”

ช่วงแรก ๆ ปีเตอร์ เลือกที่จะซ้อมแค่มวยไทยเพราะเขามองว่าสิ่งนี้สามารถช่วยหาเงินเข้ากระเป๋าได้ ประกอบกับการฝึกซ้อมแต่ละครั้งต้องแลกมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่สูง หลังจากฝึกซ้อมได้เพียงแค่เดือนเดียว ปีเตอร์ ก็ได้โอกาสขึ้นชกบนสังเวียนจริง แม้ไฟต์แรกในชีวิตจะพบกับความพ่ายแพ้แต่ครั้งนั้นเขาได้ใจเทรนเนอร์ไปเต็ม ๆ ด้วยความใจสู้ที่มีในตัวอย่างเหลือล้น จนกลายเป็นแพชชั่นนำไปต่อยอดสู่การเรียนศาสตร์ที่สองนั่นก็คือยิวยิตสู หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า BJJ



“ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน แม่ผมให้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 บาท ผมก็หักวันละ 50 บาท เพื่อที่จะเอาเงินมาเก็บไว้เป็นค่าซ้อม แรก ๆ ก็เลยซ้อมแค่มวยไทยก่อนครับเพราะผมมองว่ามวยไทยสามารถชกหาเงินได้”

“ผมซ้อมได้เดือนเดียวผมก็ขอเขาขึ้นชกเลยครับ ตอนนั้นเจอกับนักมวยที่ชกมาแล้ว 20 กว่าไฟต์ ผมสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จนเทรนเนอร์ชมครับ หลังจากนั้นผ่านไป 2 สัปดาห์ผมก็เลยขอเขาขึ้นชกอีกครั้งแต่คราวนี้ชนะครับก็เลยชกตามเวทีภูธรมาเรื่อย ๆ เดือนละครั้ง 2 ครั้ง พอได้เงินค่าตัวจากการชกมวยไทยบวกกับรับจ้างทำงานที่ค่ายมวยก็เอาไปซ้อมยิวยิตสู ด้วยความที่ผมเป็นเด็กขยันใฝ่เรียนรู้จนหลัง ๆ หัวหน้าค่ายเอ็นดูเขาก็เลยให้ซ้อมฟรีครับ”



แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อโควิดเข้ามาทำให้ชีวิตคนทั้งโลกวุ่นวาย ค่ายมวยหลายแห่งปิดตัวลงไม่เว้นแม้กระทั่งทีมเควส ไทยแลนด์ ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของ ปีเตอร์ อย่างไรก็ตามในความสิ้นหวังก็ยังมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตอยู่บ้าง เมื่อเขาได้รับการติดต่อจากค่ายมวยดังในเมืองกรุง และกลายเป็นก้าวแรกบนถนนสาย MMA ที่สำคัญยังได้พบรักกับสาวสุดแกร่งเจ้าของฉายาเจ้าแม่เข่ายัดไส้อย่าง ซุปเปอร์เกิร์ล จรูญศักดิ์มวยไทย อีกด้วย

“ช่วงโควิดตอนนั้นเจ้าของค่ายกลับประเทศครับสุดท้าย ทีมเควส ไทยแลนด์ เลยปิดตัวลง เผอิญมีคนจากค่ายมารอคยิม (Marrok Gym) ติดต่อมาให้ผมลงไปซ้อมที่กรุงเทพ จากนั้นไม่กี่เดือนก็ได้โอกาสไปแข่งรายการ ONE WARRIOR SERIES ที่สิงคโปร์ แต่ตอนนั้นตื่นเวทีและแสงสีเสียง ก็เลยแพ้ไปทั้งสองครั้งเลยครับ”



“หลังจากนั้นมีรายการ Fairtex Fight Night ที่เวทีลุมพินีครับ ช่วงนั้นเขาเริ่มจัดแข่งขัน MMA ทางค่ายแฟร์เท็กซ์ก็เลยติดต่อให้ผมไปชกกับ แรมโบ้ แฟร์เท็กซ์ ก็เอาชนะมาได้ครับ”

“ที่มารอคยิมทำให้ผมได้เจอกับ ซุปเปอร์เกิร์ล ช่วงนั้นต้องบอกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะอีกด้านหนึ่งผมก็มีชีวิตวัยรุ่นทั่วไปสูบทั้งบุหรี่ กัญชา แต่พอได้มาเจอกับ ซุปเปอร์เกิร์ล มันทำให้ผมเปลี่ยนความคิดครับ ผมหักดิบทุกอย่างได้ กลับมาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นก็เลยชนะติดต่อกันมาเรื่อย ๆ ครับ”


ปีเตอร์ ดาเนสโซ และหวานใจ ซุปเปอร์เกิร์ล จรูญศักดิ์มวยไทย


ความรักในครั้งนี้ทำให้ ปีเตอร์ หันกลับมาโฟกัสที่ตัวเอง พร้อมทั้งวาดฝันภาพอนาคตในหัวได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เขากลับมาระเบิดฟอร์มแกร่งอีกครั้งด้วยการคว้าชัย 4 ไฟต์ติดต่อกัน แถมยังเป็นการเอาชนะคู่ต่อสู้แบบไม่ครบยก กระทั่งได้โอกาสแข่งขันในรายการใหญ่ครั้งแรกอย่าง ONE ลุมพินี เวทีที่เปลี่ยนชีวิตนักสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนรวมถึงตัวของ ปีเตอร์ เองด้วย เพราะหลังจากการขึ้นสู้ในครั้งนั้นเขาก็ได้รับสายจากชายผู้ปลุกปั้นนักกีฬา MMA ที่ประสบความสำเร็จบนสังเวียนระดับโลกมาแล้วหลายราย



“ตอนนั้นมีโอกาสไปแข่งศึก ONE ลุมพินี ผมเอาชนะคู่ต่อสู้มาได้แค่ยกแรกครับ ทีนี้พี่ จอร์จ ฮิกแมน เฮดโค้ชที่ค่ายบางเทาเขามาเห็นฟอร์มก็เลยติดต่อมาถามผมว่าอยากลองไปแข่งรายการ Road to UFC มั้ย แต่ต้องย้ายไปซ้อมที่ภูเก็ตนะ ซึ่งผมมีความฝันที่อยากไปโลดแล่นบนสังเวียน UFC อยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจไปแบบไม่ต้องคิดเลยครับ”

“ที่ค่ายบางเทามีแต่ยอดฝีมือระดับแชมป์ทั้งนั้นมาซ้อม ช่วงแรก ๆ ที่ได้โอกาสเป็นคู่ซ้อมก็โดนยำเละเลยครับ แต่ผมเป็นพวกไม่ยอมแพ้อยู่แล้วก็พยายามถีบตัวเองขึ้นมาจนสู้กับพวกพี่ ๆ เขาได้ครับ”


จอร์จ ฮิกแมน & ปีเตอร์ ดาเนสโซ


และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง 28 พ.ค. 2566 ปีเตอร์ ลงแข่งขัน Road to UFC ซีซัน 2 รอบแรก เขาใช้เวลาเพียงแค่ยกเดียวจัดการกระโดดเข่าลอยเข้าเต็มปลายคางของ ซิม ไค เซียง นักสู้จากสิงคโปร์ เอาชนะทีเคโอไปได้อย่างสวยงาม อย่างไรก็ตามในรอบที่ 2 เขาต้องโคจรมาพบกับ เนียมยาร์กัล ตูเมนเดมเบเรล นักสู้ไร้พ่ายจากมองโกเลีย ก่อนจะพ่ายไปอย่างบอบช้ำเพียงแค่ยกแรก

“ตอนไปแข่ง Road to UFC รอบแรกผมเอาชนะคู่แข่งด้วยเข่าลอยครับตอนนั้นดีใจมากที่ได้เข้ารอบ แต่หลังจากนั้น 2 เดือน ผมมาลงแข่งรอบ 2 เผอิญช่วงนั้นแม่ผมเป็นสโตรกแล้วผมก็ไม่มีโอกาสกลับไปหาแม่ที่เชียงใหม่เพราะต้องซ้อม ตอนนั้นก็คิดนู้นนี่นั่น คิดจนถึงขั้นว่าถ้าผมแพ้มาแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาให้แม่ ครั้งนั้นยอมรับว่าถึงซ้อมดีแค่ไหน แต่ถ้ายังมีเรื่องกังวลอยู่ในสมองให้คิดเยอะและโฟกัสได้ไม่เต็มที่ก็ทำออกมาได้ไม่ดีสุดท้ายก็แพ้ไปครับ”



ปัจจุบัน ปีเตอร์ ยังคงทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น เพราะเขามีความฝันว่าสักวันจะต้องพาตัวเองไปโลดแล่นอยู่บนสังเวียน MMA ระดับโลกอย่าง UFC ให้ได้ ด้วยแพชชั่นในศาสตร์ของมวยไทย ที่สำคัญหากเขาสำเร็จก็จะกลายเป็นเสียงสะท้อนในเด็กไทยรุ่นหลังได้เห็นว่าศิลปะการต่อสู้แบบไทยก็ไม่แพ้ศาสตร์การต่อสู้แขนงไหนบนโลก

“ช่วงนี้ก็เก็บตัวซ้อมอย่างเดียวเลยครับก็ตั้งเป้าว่าปีหน้าทำฟอร์มสวย ๆ ซัก 2-3 ไฟต์ ก็อาจจะได้กลับไปแข่ง Road to UFC อีกครั้ง เพราะความฝันของผมคือการเป็นชายไทยคนแรกที่ได้ไปยืนอยู่บนสังเวียน UFC แล้วผมก็อยากมีตัวตนอยู่ในเกม UFC ด้วยครับ เชื่อมั้ยว่าผมเคยใช้เวลา 2 ชั่วโมงเพื่อสร้างตัวละครในเกมนี้”



“ผมอยากจะพูดให้คนไทยได้รู้ว่าในประเทศไทยของเรามีคนที่เก่ง ๆ อีกเยอะ การซ้อมแบบสมัยก่อนมันก็ดีแต่ถ้าเราเอาวิทยาศาสตร์การกีฬา เรื่องโภชนาการเข้ามาช่วยมันจะดีกว่าเดิมเยอะเลย ที่สำคัญมีชาวต่างชาติมากมายเข้ามาเรียนมวยไทยเพื่อไปชก MMA แล้วประสบความสำเร็จเยอะมาก แต่ทำไมไม่มีคนไทยประสบความสำเร็จใน MMA เลย ทั้งที่ประเทศเราเป็นจุดกำเนิดของมวยไทย”

“ผมพูดตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ถ้าผมประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าเสียงของผมจะดังขึ้นกว่านี้และผมอยากช่วยเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่สนใจ MMA มาช่วยกันทำให้ทุกคนรู้ว่ามวยไทยก็ไม่ได้แพ้ศาสตร์การต่อสู้แขนงอื่น ๆ เลยครับ”

แอดมิน ปอนด์ต่อปอนด์
แอดมิน ปอนด์ต่อปอนด์
ท้าชนทุกรุ่น...ปอนด์ต่อปอนด์

ข่าวล่าสุด

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง